แก้ไขปัญหากู้ซื้อขายบ้าน ไม่ผ่าน ด้วยวิธีกำจัด 10 จุดอ่อน
ผลกระทบจากภาวะของเศรษฐกิจ ที่ชะลอตัวทำให้รายได้หรือกำลังซื้อในบางส่วนลดลง ขณะเดียวกันทางสถาบันการเงินก็มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งเหตุผลหลักที่ทางแบงก์ปฏิเสธการให้สินเชื่อก็เนื่องมาจากความสามารถในการชำระหนี้ของตัวผู้กู้ลดลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการมีภาระของการผ่อนรถยนต์คันแรก, การมีบัตรเครดิตหลายใบ, การผ่อนชำระสินค้ากับบัตรต่างๆ ตลอดจนรายได้ที่ได้รับมานั้นลดลงในบางอาชีพอันเป็นผลมาจากการชุมนุมทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจ เป็นต้น
ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่างๆในการยื่นขอกู้ซื้อบ้านแล้วไม่ผ่าน จึงมีคำแนะนำให้กำจัด 10 จุดอ่อน ซึ่งจะมีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินดังนี้1.บัตรเครดิตหลายใบมีไว้ทำไม ไม่รู้หรือว่ามีผลทำให้กำลังซื้อขายบ้านของคุณลดลง ในการพิจารณาวงเงินที่จะให้สินเชื่อซื้อบ้านนั้น แบงก์จะนำวงเงินจากบัตรเครดิตทุกใบที่มีอยู่นั้น คิดรวมเป็นภาระหนี้สิน (แม้จะยังไม่ได้รูดจ่ายก็ตาม) จะส่งผลให้กู้ได้น้อยลงหรืออาจกู้ไม่ผ่านในที่สุด หากภาระหนี้สิน ทั้งหมดมีเกินกว่า 40% ของรายได้รวมทั้งหมด
2.ผ่อนซื้อสินค้าผ่านบัตรต่างๆ คุณต้องรีบเคลียร์ให้หมด ปัจจุบันนี้นอกเหนือจากบัตรเครดิตแล้ว ยังมีบัตรที่สำหรับผ่อนชำระสินค้าอื่นๆ ซึ่งควรรีบเคลียร์ให้หมด มิฉะนั้นก็จะถูกนำมาพิจารณาเวลาที่จะให้สินเชื่อด้วยเช่นกัน
3.จะยื่นกู้ซื้อบ้านก็ควรเช็คเครดิตบูโรซะก่อน ซึ่งบางคนยังมีหนี้หรือยอดค้างชำระหนี้โดยไม่รู้ตัว เมื่อยื่นขอกู้กับแบงก์จะตรวจสอบข้อมูลมายังเครดิตบูโร ซึ่งเครดิตบูโรก็จะเก็บรวบรวมข้อมูลของการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิต อันประกอบไปด้วยข้อมูลส่วนบุคคลและประวัติการชำระสินเชื่อ ทั้งวงเงินยอดค้าง และประวัติการผิดนัดชำระหนี้สินในแต่ละสิ้นเดือนย้อนหลัง ไม่เกิน 36 เดือน
หากผู้ขอสินเชื่อนั้นมีประวัติการชำระสินเชื่อที่ไม่ดี มีการค้างชำระหรือผิดนัดชำระหนี้สินต่างๆ หรือแม้กระทั่งยังไม่เคยมีประวัติสินเชื่อกับสถาบันการเงินที่ใดเลย โอกาสที่จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินนั้นก็จะมีน้อยลงไป หรือถึงขั้นที่ไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ก็เป็นได้
4.ผ่อนรถยนต์คันแรกอยู่ ต้องคิดให้ดีก่อนที่จะกู้ซื้อบ้าน สาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่แบงก์ปฏิเสธการให้สินเชื่ออันเนื่องมาจากผู้กู้มีภาระ ติดผ่อนชำระรถยนต์จากโครงการรถคันแรก ดังนั้นก่อนที่จะซื้อบ้านต้องคิดให้ดีหรือลองทำ Pre-approve กับสถาบันการเงิน เพื่อดูความสามารถในการชำระหนี้ว่ายังผ่อนบ้านเพิ่มได้อีกหรือไม่
5.อย่าค้ำประกันให้ใครง่ายๆ เพราะสถาบันการเงินนั้นจะนำมาพิจารณารวมเป็นภาระหนี้ของคุณด้วย อาจทำให้ความสามารถในการกู้ลดลง เช่นเดียวกับบัตรเครดิตหรือบัตรผ่อนสินค้าอื่นๆ
6.ก่อนคิดที่จะกู้ลองสร้างเครดิตดีๆให้ตัวเองกันไหม หากไม่มั่นใจในรายได้หรืออาชีพของตนเองแล้ว กลัวแบงก์จะปล่อยกู้หรือไม่ ลองสร้างเครดิตที่ดีให้กับตัวเองโดยการเปิดบัญชีออมเงินสักระยะหนึ่งอาจจะ 1-2 ปี ซึ่งนอกจากเงินออมนี้จะกลายเป็นเครดิตว่าคุณมีวินัยทางการเงินได้อีกทางหนึ่งด้วย
7.หาผู้กู้ร่วมที่มีเครดิตดีๆซะคน การที่มีผู้กู้ร่วมที่มีอาชีพมั่นคง มีรายได้ประจำ เช่น ข้าราชการ, พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือประกอบวิชาชีพพิเศษ เช่น แพทย์, อัยการ เป็นต้น อาจจะทำให้มีโอกาสที่จะได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงินมากขึ้น
8.เลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมและสอดคล้องกับกำลังที่จะซื้อ ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั้น ขอให้คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ไว้เป็นหลัก ไม่ใช่เพราะความต้องการอยากได้มาเป็นของตัวเอง เพราะ ถ้าหากผ่อนไม่ไหวมันจะกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง หรืออาจจะต้องยอมให้แบงก์ยึดไปอย่างน่าเสียดาย นกน้อยต้องทำรังแต่พอตัว
9.เลือกระยะเวลาในการผ่อนชำระยาวๆ ไว้ก่อน แนะนำให้เลือกระยะเวลาการผ่อนชำระบ้านที่นานๆ ไว้ก่อน เช่น 25-30 ปี เพื่อให้วงเงินที่ต้องผ่อนชำระต่อเดือนน้อยๆ หากรายได้ลดลงก็ไม่เป็นกระทบกับการผ่อน ในทางกลับกันถ้ามีรายได้เพิ่มขึ้นก็สามารถโปะได้ หรือไม่ต้องผ่อนนานตามที่กำหนดไว้ได้
แต่ถ้าเลือกผ่อนระยะสั้นไปแล้วจะขอขยายเวลาออกไปต้องเสียเวลาไปยื่นเรื่องใหม่ๆ และอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก
10.ถ้าคุณยังไม่พร้อม ก็อย่าเพิ่งคิดที่จะเป็นหนี้ เนื่องจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะผูกพันเป็นภาระหนี้ในระยะยาวเป็น 10 ปี 25 ปีขึ้นไป ฉะนั้นต้องมั่นใจในกำลังเงินผ่อนของตัวเองเสียก่อนจึงคิดจะมีบ้าน
ถ้าหากคุณสามารถกำจัด 10 จุดอ่อนเหล่านี้ ซึ่งจะมีผลต่อการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินลงได้แล้วล่ะก็ เชื่อว่าคุณจะมีบ้านได้อย่างใจฝันแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น